ควันหลงหลังฝนซา - ควันหลงหลังฝนซา นิยาย ควันหลงหลังฝนซา : Dek-D.com - Writer
NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด

    ควันหลงหลังฝนซา

    ผู้เข้าชมรวม

    122

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    13

    ผู้เข้าชมรวม


    122

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  18 มี.ค. 67 / 14:06 น.
    คำเตือนเนื้อหา NC

    มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ



    ข้อมูลเบื้องต้น

    เจ้าของใบหน้าอ่อนล้าพาร่างกายที่โต้รุ่งอ่านหนังสือสอบมาค่อนคืนมุ่งตรงเข้าไปในสถานีขนส่งขนาดกลาง ห่างออกจากถนนเส้นหลักของตัวเมืองไปไม่ไกล บริเวณนี้เต็มไปด้วยรถยนต์มากมายวิ่งสวนกันไปมาอย่างคับคั่ง ซึ่งเป็นผลมาจากช่วงเทศกาลปีใหม่ที่หลายคนต่างเดินทางกลับภูมิลำเนาบ้านเกิดของตนเอง

    เขาก้าวเท้าไปหาเหล่าพนักงานในเครื่องแบบสีฟ้าอ่อนตรงช่องจำหน่ายตั๋วโดยสารพร้อมสะพายกระเป๋าเป้ใบเล็กไปด้วยอย่างไม่มั่นใจ ตัวเขาไม่ได้เป็นคนเดินทางบ่อยคราวนี้จึงพลอยทำอะไรอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ

    ในชั่วอึดใจเขาจึงหาช่องจำหน่ายที่ตนต้องการพบ มือยกโทรศัพท์ขึ้นสแกนจ่ายเงินแล้วรับตั๋วรถโดยสารสายกรุงเทพฯ-สุพรรณบุรี ก่อนจะเดินไปนั่งรอรถใกล้ ๆ กับช่องหมายเลขที่ถูกระบุไว้บนตั๋วกระดาษแผ่นบาง สายตาเคลื่อนลงต่ำก้มมองนาฬิกาข้อมือเรือนเก่าหวังจะดูเวลาผ่านหน้าปัดแตกละเอียด

    ตอนนี้รถตู้ควรถึงได้แล้วไม่ใช่เหรอ...

    คล้ายธรรมชาติเห็นใจ ช่วยไขข้อสงสัยให้กระจ่างในทันที ท้องฟ้าที่แต่เดิมมืดครึ้มมาตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ จู่ ๆ ก็ปรากฏสายฝนกรูกราวตกลงมาย้อมทัศนียภาพเบื้องหน้าราวกับม่านควัน

    เขากวาดสายตามองรอบข้างจนสังเกตเห็นหน้าจอแอลอีดีแสดงสภาพคล่องบนท้องถนน เส้นกราฟิกสีแดงบ่งบอกถึงสาเหตุของความล่าช้าในขณะนี้ได้เป็นอย่างดี

    ถ้าเลือกได้เขาเองก็ไม่อยากมาขึ้นรถที่นี่สักเท่าไหร่นัก ไม่ใช่เพราะสถานที่นี้แออัดไปด้วยผู้คน หรือต้องประสบกับความยากลำบากในการเดินทางต่าง ๆ แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมไม่น่ามองที่แค่เผลอกวาดตามองไปรอบ ๆ เพียงเสี้ยววิ ทิวทัศน์รอบข้างก็สามารถนำพาให้ใครต่อใครรู้สึกหดหู่ได้ไม่ยากเย็น เนื่องจากสถานีถูกสร้างใต้โทลล์เวย์ซึ่งเป็นมุมอับของตัวเมือง คล้ายการบ่งบอกทางอ้อมว่าคนเมืองกรุงให้การต้องรับคนต่างจังหวัดอย่างไร ใครก็ตามที่มาอยู่ในจุดนี้คงสามารถเข้าใจคำว่าพลเมืองชั้นสองได้อย่างชัดเจน

    เวลาผ่านไปไม่นานอย่างที่คิด รถตู้โดยสารสาย 88 เคลื่อนตัวเข้ามาภายในสถานีขนส่ง ผลัดเปลี่ยนผู้โดยสาร เมื่อทุกคนรวมถึงเขาเองขึ้นมานั่งจนครบ คนขับจึงรีบมุ่งหน้าสู่จังหวัดสุพรรณบุรีอันเป็นจุดหมายปลายทางทันที

     

     

    “ได้ยินมาว่าขับฝ่าฝน ถนนลื่นแหกโค้ง ดับคาที่ทั้งผัวทั้งเมียเลย”

    “โถถัง...ทีนี้เหลือแค่รุ่นลูกเหรอ ลูกแท้ ๆ ก็คนหนึ่ง เจ้าเอื้อลูกติดแม่ก็อีกคน เห็นว่าคนโตกำลังจะเข้ามหาลัยด้วยไม่ใช่ ใครจะส่งเสียล่ะ”

    “เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้หรอก แต่ดูนั่น ฉันนึกว่าไอ้เอื้อจะสะอึกสะอื้นร้องห่มร้องไห้ปานจะขาดใจตายเหมือนคราวตายายมันตาย พอมาเป็นครั้งนี้ไม่เห็นร้องสักแอะ ตายด้านไปแล้วมั้ง ทั้ง ๆ ที่ก็ครอบครัวเหมือนกันแท้ ๆ”

    “คงเป็นกรรมของผัวเมียคู่นั้น ลูกตัวเองประคบประหงมปานลูกเจ้าลูกขุน ส่วนลูกติดกับผัวเก่าดันโยนภาระให้พ่อให้แม่ตัวเองเลี้ยง”

    “เธอจะบอกว่ากรรมตามสนองหรือยังไง”

    “ฉันไม่ได้จะหมายความว่าอย่างนั้น...”

    เสียงพูดคุยเซ็งแซ่เคล้าคลอด้วยเสียงฝนพรำและบทเพลงงานอวมงคลดังสะท้อนอยู่ภายในศาลา ห่างออกไปจากตัวอำเภอไม่มาก หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เขาเคยอยู่กับตายายมีคนอาศัยอยู่ไม่มากเพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นแม่น้ำลำคลอง สมัยนี้เรามักเดินทางด้วยรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์เป็นส่วนใหญ่ ไม่คุ้นชินกับการพายเรือในคุ้งน้ำ เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้คนรุ่นเขาพากันย้ายเข้าตัวเมือง คนที่เหลืออยู่ในหมู่บ้านนี้ต่างก็เป็นคนเฒ่าคนแก่ทุกคนต่างรู้จักกันหมด ดังนั้นพอมีใครเสียทีก็ล้วนรับทราบกันทั้งบาง แล้วพากันมานั่งจับเข่านินทา ทอดถอนใจกับชะตากรรมของผู้อื่นอย่างออกรส

    ตอนนี้เขานั่งหลบมุมอยู่เงียบ ๆ คนเดียวบนเสื่อของทางวัด รับแก้วน้ำดื่มจากเด็กชายตัวเล็ก แล้วปล่อยให้หน้าที่ต่าง ๆ ในฐานะบุตรทางสายเลือดเป็นภาระของพี่น้องต่างพ่อแทน

    ตึง!

    ทันใดนั้นเองเสียงเดินกระแทกเท้ากับพื้นศาลาวัดจนสังเกตได้ดังขึ้น จังหวะการก้าวเดินค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเงาทาบทับลงบนลำตัวเขาที่นั่งอยู่ต่ำกว่าเสียมิด

    เขาผินหน้าหันไปมองเจ้าของการกระทำไร้มารยาท เบื้องหน้าเป็นชายหนุ่มร่างท้วมภายใต้เชิ้ตสีดำยืนมองเขาตาขวางราวกับมีเจตนาประกาศกร้าวว่าเราทั้งคู่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ สายตาคู่นั้นแดงก่ำด้วยความโกรธซึ่งมากเกินกว่าที่จะเกิดจากความไม่พอใจทั่วไป เขาสังเกตเห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้หลังจากร่วมฟังพินัยกรรมที่บิดาบุญธรรมได้ทิ้งไว้ แต่ไม่ทันได้เอ่ยปากถามสารทุกข์สุกดิบคนคุ้นหน้าคุ้นตา อีกฝ่ายก็หันหลังใส่ แล้วเดินกลับไป ทิ้งให้เขานั่งฉงนอยู่อย่างนั้น...

     

    ยามดึกสงัดหลังพระสวดเสร็จ เขาพาร่างอ่อนเพลียกลับมาถึงบ้านไม้ใต้ถุงสูงหลังเก่า โน้มตัวลงนอนบนเตียงหลังใหญ่ที่ในอดีตเคยได้นอนกับยายครั้งยังเยาว์วัย ผ้าปูที่นอนหอมไร้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มอย่าง หมอนและผ้าห่มต่างมีฝุ่นจับเล็กน้อย แต่ด้วยความง่วงงุนทำให้เขาคร้านจะใส่ใจ เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นนวดขมับตัวเอง ดวงตาทั้งสองข้างพร่าเบลอเล็กน้อยเหม่อมองเพดานว่างเปล่า สติสัมปชัญญะที่เคยครบถ้วนตอนนี้ลดลงเกือบครึ่งด้วยความอ่อนล้า แต่ถึงกระนั้นดวงตาไม่อาจละไปจากเม็ดฝนนับหมื่นหยดนอกหน้าต่างได้ อวัยวะภายใต้กะโหลกศีรษะกลับหวนนึกถึงความทรงจำอันยากจะลืมเลือน...เรื่องราวของเขากับพ่อเลี้ยงในคืนวันฝนพรำ

    วันนี้คงจะเป็นวันธรรมดาเหมือนกับวันอื่น ๆ ที่ผ่านมาหากไม่ใช่ว่าวันนี้เด็กหนุ่มตื่นขึ้นมาเจอสิ่งแปลกประหลาดน่าขยะแขยงทั่วลำตัว ทำให้กระจ่างแจ้งถึงกมลสันดานของผู้ที่ตนเคารพรักดั่งบิดาบังเกิดเกล้า

    เมื่อคืนเอื้อไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ คำผรุสวาทของแม่แท้ ๆ ปลุกให้เด็กม.ต้นคนนี้ต้องฝืนหยัดตัวขึ้นด้วยอาการงัวเงีย แม้กลิ่นไอดินและความชื้นจากละอองฝนจะชวนให้เกียจคร้านขนาดไหนก็ต้องพยายามลุกออกจากเตียงหากไม่อยากได้ยินถ้อยคำไม่น่าฟังจากใครก็ตาม

    เอื้อตั้งใจจะออกไปล้างหน้าแปรงฟัน ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันตามปกติโดยไม่สนใจของเสียงแหลมสูงดั่งเช่นในทุก ๆ วัน เพราะหลังจากตากับยายจากไปด้วยโรคชราแล้วได้ย้ายมาอยู่กับครอบครัวใหม่ของมารดาก็มักได้ยินคำพูดประเภทนี้อยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นความเคยชิน

    แต่ทันใดนั้นเด็กหนุ่มกลับรู้สึกสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย บนตัวเปลือยเปล่าล่อนจ้อน ขาทั้งสองข้างพลันต้องหยุดชะงัก รับรู้ว่าบางอย่างผิดไปจากที่ควรเป็น

    เอื้อสบตาตัวเองในกระจกบานเล็กข้างโต๊ะอ่านหนังสือ เลื่อนตาลงสำรวจตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ร่องรอยแดงจ้ำคล้ายถูกบีบอย่างรุนแรงบนหน้าอกและขาอ่อน ของเหลวสีขาวข้นเปรอะเปื้อนบนหน้าขา ริมฝีปากบวมเจ่อ รอยจ้ำเขียวประดับใบหน้า และความปวดโนบนศีรษะ...

    ดวงตาของเด็กหนุ่มวูบไหวด้วยความตื่นตระหนก ยืนหมุนคว้างทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วอึดใจ ในพลันนั้นไม่ทันได้ตั้งตัว สายตาเหลือบเห็นร่างร่างหนึ่งยืนอยู่ภายในห้อง พร้อมกับเสียงกดสวิตช์ไฟดังขึ้นเบา ๆ

    หลอดไฟบนเพดานกะพริบเปิด ปรากฏตัวชายวัยกลางคนค่อย ๆ ก้าวเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้า

    เหมือนโลกทั้งใบหยุดนิ่ง สิ่งของรอบตัวเลือนรางจากน้ำตาที่เอ่อล้นอย่างหยุดไม่ได้ เสียงรบกวนจากด้านนอกอื้ออึงจนไม่อาจจับใจความ ดวงตาพร่าลายจนมองเห็นคนตรงหน้าซ้อนกับความทรงจำเมื่อคืนยามความชื้นแฉะในอากาศเริ่มก่อตัว...

     

    พ่อเลี้ยงคนนี้เข้ามาในชีวิตของเอื้อเมื่อไม่กี่ปีก่อน ในมุมมองของคนภายนอกอาจมองว่าชายคนนี้เป็นหนุ่มใหญ่เฉลียวฉลาด หน้าที่การงานดี และทำงานหนักเพื่อเลี้ยงครอบครัว รวมถึงทั้งรักและเอ็นดูเอื้อดั่งลูกในไส้อีกคน

    แต่ในคืนนี้เด็กหนุ่มก็ได้รู้ความจริงว่าคำพูดเหล่านี้ล้วนมีความเท็จผสมปนอยู่อย่างน่าทุเรศ

    หากจะให้กล่าวถึง…ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วและรุนแรงเกินกว่าที่เด็กคนหนึ่งจะต่อต้านได้

     

    คืนนั้น...

    เด็กหนุ่มผงะกลิ่นสุราที่โชยคละคลุ้งอยู่รอบตัวพ่อเลี้ยง แม้จะตกใจที่อีกฝ่ายเปิดประตูห้องเข้ามาตามอำเภอใจในสภาพเนื้อตัวเปียกโชกไปด้วยน้ำฝน แต่ตนก็ไม่ได้รู้สึกกรุ่นโกรธอะไร มือทั้งสองข้างผละจากแป้นพิมพ์แล็ปท็อป หันไปให้ความสนใจกับผู้มาใหม่

    “!!!”

    ฉับพลันหนุ่มใหญ่กลับกระชากเด็กหนุ่มลงบนเตียงคร่อมตัวทับอยู่ด้านบนแม้แต่ขยับเขยื้อนร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งได้ มือข้างหนึ่งใช้ตะครุบปิดปาก อีกข้างค่อย ๆ ล้วงผ่านกางเกงขาสั้นลึกเข้าไปจนถึงกางเกงชั้นในสีขาวอย่างเชื่องช้า ฉีกกระชากจนมันหลุดร่วงจากข้อเท้า ในขณะที่ความหวาดกลัวเข้าครอบงำคนใต้ร่างทำให้ไม่อาจส่งเสียงหรือ ฝ่ามือหยาบกร้านเริ่มเอื้อมมือไปนวดคลึงบีบเคล้นเนื้อหนังตั้งแต่ฝ่าเท้า หน้าขา สะโพก ไล่มาจนถึงหน้าอกแบนราบ และใบหน้าหวาดผวา ซุกไซร้ใบหน้าลงสูดดมกลิ่นคลอเคลียตรงซอกคอของคน แล้วเลื่อนใบหน้าลงโลมเลียยอดอกของคนที่ได้ชื่อว่าลูก

    เอื้อพยายามออกแรงขัดขืน แต่คนเบื้องหน้าก็พยายามสุดกำลังที่จะยึดแขนผมไว้ไม่ให้จากไปเช่นกัน

    มือข้างหนึ่งถูกบังคับให้ขยับมือลงไปสัมผัสแก่งกายกลางลำตัวโป่งตุงของอีกฝ่าย น้ำเสียงหื่นกระหายออกคำสั่งให้ออกแรงนวดมันเป็นจังหวะเนิบช้า

    “เอื้อ...” หนุ่มใหญ่ร้องเรียกด้วยความเมามาย แถมยังพูดอะไรต่อมิอะไรออกมาอีกหลายต่อหลายคำคลอเคล้าไปกับเสียงฝนตกพรำ ๆ

    เอื้ออยากจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจากใครสักคน แต่คำพูดเหล่านั้นกลับติดอยู่ที่ลำคอ เสียงสะอื้นก็ไม่แม้แต่จะเล็ดลอดออกมาได้ ทำได้เพียงเค้นเรี่ยวแรงน้อยนิดของตนเองออกมาปัดป้องสัมผัสน่าขยะแขยงเหล่านั้น

    หนุ่มใหญ่ช่วงชิงจูบแรกไปด้วยปลายลิ้นร้อนผ่าว ด้วยความไม่ยินยอมจึงตอบโต้กลับด้วยการกัดริมฝีปากร่างของอีกฝ่ายเต็มแรง แต่การกระทำนั้นโหมกระพือกระแสอารมณ์ให้พลุ่งพล่านยิ่งกว่าเดิม ปลายนิ้วกระด้างเริ่มเคล้นคลึงหยอกเอินอวัยวะส่วนล่างของเด็กหนุ่มด้วยอุ้งมือหยาบกระด้าง แล้วผละไปกระชากเส้นผมอย่างแรงจนหนังศีรษะเลือดซิบ ตบใบหน้าซ้ำไปมาจนเกิดสีฟกช้ำน่ากลัว ลมหายใจสะดุดด้วยความเจ็บปวด ดวงตาเริ่มพร่าเลือน จากนั้นภาพสุดท้ายที่สามารถจดจำได้ก่อนเปลือกตาปิดลงคือเจ้าของใบหน้าเปื้อนยิ้มบิดเบี้ยวกำลังงัดอวัยวะส่วนนั้นออกมายกขึ้นวางทาบบนหน้าขาของตน...

     

    “!!!”

    ความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจ ขาไร้เรี่ยวแรงไม่อาจพยุงกายอ่อนล้าได้อีกต่อไป เขาทรุดลงกับพื้นพร้อมกับร่างกายสั่นเทา นิ้วมือจิกเกร็งด้วยความผวา

    เขาไม่ทราบว่าชายคนนี้ต้องการอะไร แต่คำพูดที่ออกมาจากริมฝีปากคนตรงหน้าทำให้เขาจดจำเหตุการณ์นี้ได้ไม่มีวันลืม

    “เอื้อ ถ้าตื่นแล้วก็อาบน้ำแต่งตัวลงไปทานข้าวเถอะลูก แม่เขาเรียกแล้ว”

    “วันนี้ตื่นสายไปหน่อย แต่ไม่เป็นไร เมื่อคืนเอื้อนั่งทำการบ้านจนดึก...พ่อเข้าใจ”

     

     

    หากวันนี้ไม่ได้อยู่ในช่วงมรสุมที่สายฝนทิ้งตัวลงมาเป็นว่าเล่น ค่ำคืนในพื้นที่ต่างจังหวัดก็นับได้ว่าเงียบงันกว่าในเมืองกรุงหลายเท่า

    ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน ตัวเขาที่เผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าสะลึมสะลือตื่นขึ้นเพราะเสียงไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดคล้ายเสียงคนเดินลงเท้าหนักบริเวณกระไดบ้านหน้าห้อง เขาเหลือบตามองไปที่บานประตูไม้เก่า ๆ ถึงแม้ยังไม่เกิดอะไรขึ้นแต่เสียงด้านนอกกลับทำให้จิตใต้สำนึกกังวล เหงื่อเย็นออกชุ่มแผ่นหลัง

    นี่เขากลายเป็นพวกหวาดระแวงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...

    เสียงดังนิดหน่อยในระดับที่ไม่อาจทำให้คนทั่วไปตื่นได้ แต่เขากลับต้องผุดลุกขึ้นมาทุกครั้ง

    ความมืดมิด ความเงียบสงัด และเสียงสายฝน สิ่งเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกกระสับกระส่ายได้ในทุกครั้ง แม้มันจะเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม

    “แกร๊ก…”

    ไขสันหลังเสียววาบ เส้นขนบนแขนลุกชูชัน เขาผุดลุกขึ้น หยิบโทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นของแข็งใกล้ตัวเพียงชิ้นเดียวขึ้นกำแน่น ดวงตาต้องมองไปยังบานประตูที่มีใบหน้าคนมองมา

    ปัง! ตึง! ตึง! ตึง!

    ชายคนนั้นผลักประตูเข้ามาสุดแรง พุ่งเข้ามาบีบคอและทิ้งน้ำหนักตัวลงกดหลอดลมของเขาเต็มแรง แสงจันทร์ผ่านลอดหน้าต่างส่องกระทบใบหน้าผู้บุกรุก เผยให้เห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาที่ส่งสายตาไม่พอใจให้เขาในงานศพของพ่อเลี้ยง

    ชายตรงหน้าเส้นเลือดดำบริเวณขมับปูดโปน กัดฟันจนแนวกรามเห็นเป็นสันนูน พรั่งพรูลมหายใจหอบถี่ลอดไรฟันพร้อมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยใบหน้าย่ำแย่เต็มที

    สิ่งสุดท้ายที่ได้ยินก่อนภาพจะตัดไปพร้อมลมหายใจขาดช่วง...

    “มรดกพวกนั้นต้องเป็นของกู! ของกูแค่คนเดียว!”

     

     


     

    Talk with Me

    สำหรับท่านที่สงสัยในประเด็นเนื้อเรื่อง หลัก ๆ ก็ไม่มีอะไรมากฉบับเรื่องสั้นที่ต้องจบในตอนและชอบทิ้งท้ายไว้ให้คิดต่อว่ามันเกิดอะไรขึ้นต่อ จะบอกว่า...ไม่บอกหรอกค่ะว่าต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้น ปล่อยไว้ให้สงสัยต่อไป5555+

    ลองสันนิษฐานสิคะว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร และตอนจบจะเป็นยังไง ถือว่าเป็นกิจกรรมเล็ก ๆ สำหรับคอมมูนิตี้ที่หลงเข้ามาอ่าน ไม่มีของรางวัลให้ค่ะ ไม่ต้องคาดหวัง

    จริง ๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่แต่งส่งอาจารย์ในวิชาภาษาไทย และเป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกที่เขียน หวังว่าจะทำให้รีดเดอร์ทุกท่านสนุกไปกับการอ่าน สามารถติชมได้อย่างสุภาพใต้คอมเมนต์และแสดงความคิดเห็นมาได้ตลอดเลยนะคะ อ่านแน่นอน

    ปล. ขอบคุณค่ะ

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×